ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาณาจักรสยามประเทศอยู่ในความสงบสุขไม่มีศึกสงคราม มีคณะฑูตและบาทหลวงจากประเทศต่างๆ เข้ามาเจริญสัมพันธ์ไมตรี จนถือว่าเป็นยุคทองแห่งการทูตไทยและยุคทองแห่งวรรณคดี
มีข้าราชการอยู่คนหนึ่งซึ่งพระเจ้ากรุงสยามได้ยกย่องตั้งให้เป็นพระซึ่งเป็นตำแหน่งชั้นที่ 2 ของเมืองนี้ ขุนนางผู้นี้ชื่อ คอนสตันตินฟอลคอล ซึ่งเป็นคนที่ฉลาด มีไหวพริบตรึกตรองการลึกซึ้ง ทำการค้าขายมากกว่าพ่อค้าทั้งปวง คอนสตันตินฟอลคอลได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์และได้แต่งงานกับคุณท้าวทองกีบม้า ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ประเทศสยามมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองขุนนางชาวต่างชาติ รวมถึงคอนสตันตินฟอลคอลถูกประหารชีวิต
คุณท้าวทองกีบม้าถูกนำตัวไปขังเกือบ 2 ปี จึงถูกปลดปล่อย แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องทำขนมหวานส่งเข้าไปในวังตามอัตราที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เพราะเป็นผู้มีชื่อเสียงในการทำอาหารคาวหวานอย่างยอดเยี่ยม จุดเปลี่ยนโฉมหน้าครั้งสำคัญของขนมไทยเกิดขึ้นเมื่อคุณท้าวทองกีบม้าเริ่มทำขนมหวาน คือ ขนมทองหยิบ ขนมทองหยอด ขนมฝอยทอง ขนมโปร่ง ขนมพล ขนมผิง ขนมไข่เต่า ขนมทองม้วน ขนมสัมปันนี และขนมหม้อแกง ซึ่งนำไข่มาเป็นส่วนประกอบหลักและสอนให้ชาวสยามทำอาหารต่างๆ จนเป็นความรู้ติดตัว ด้วยมีรสชาติของไข่และน้ำตาลเป็นส่วนประกอบทำให้ขนมต่างๆ
โดยเฉพาะขนมหม้อแกงได้รับความนิยมชมชอบจากเจ้านายชั้นสูงในรั้วในวัง และได้รับการขนานนามขนมหม้อแกงว่า "ขนมกุมภมาศ" เมื่อลูกมือในบ้านคุณท้าวทองกีบม้าแต่งงานก็นำความรู้ที่ได้ไปทำและเผยแพร่ต่อไปอีก ทำให้ตำรับการทำขนมคาวหวานที่เป็นของสูงในพระราชวังได้ถูกเผยแพร่ออกสู่ประชาชน และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2529 จังหวัดเพชรบุรีมีการบูรณะพระนครคีรีให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ชาวบ้านในละแวกนั้นได้ทำขนมหม้อแกงออกจำหน่าย ทำให้ขนมหม้อแกงเป็นขนมที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบุรีและรู้จักกันแพร่หลายมาตราบชั่วทุกวันนี้
ที่มา: หนังสือประชุมพงศาวดารที่ 40 ฉบับหอสมุดแห่งชาติ เรื่องจดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสำเนาจดหมายมองซิเออร์เคลานด์ไปถึงมองซิเออร์ บารอง ผู้อำนวยการใหญ่ในประเทศสยาม ลงวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ.1628 (พ.ศ.2225)